เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ก.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาโลกมันมีปัญหากัน โลกมีปัญหามาก มีการก่อการร้าย มีการแก่งแย่งกัน ทุกคนเรียกร้องความเป็นธรรม ทุกคนเรียกร้องความเป็นธรรมนะ ใครก็เรียกร้องความเป็นธรรม ว่าความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ความเป็นธรรมของใครล่ะ

เขาว่าทำความเป็นธรรมของเขา ว่าศาสนาสอนอย่างนั้น ลัทธิสอนอย่างนั้น แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมา เวลาท่านสละ เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สละชีวิต สละทุกอย่าง ท่านสละเพื่ออะไร? เพื่อความสุขของโลกไง เราสละชีวิตของเราเพื่อความสุขของโลก ไม่ใช่ว่าไปต้องการความเสมอภาค ต้องไปกดให้เขามาเสมอเรา เราต่างหากสละของเราขึ้นไป มันเป็นบารมี

สิ่งที่เป็นบารมี เหมือนกับผู้นำ ผู้กำหนดนโยบาย เขาไม่ต้องออกมาหรอก เขาสั่งนโยบายคำเดียว ทุกคนต้องขับเคลื่อนไปตามนโยบายของเขา ถ้าไม่ขับเคลื่อนไปตามนโยบายของเขา เขามีอำนาจนะ อำนาจของโลกไง ถ้าอำนาจของโลกเป็นสภาวะแบบนั้น อำนาจของโลกคืออำนาจที่ว่ามันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มันทำอย่างนั้น อำนาจอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นอำนาจที่ร้อนมาก ร้อนมากเหมือนกับไฟ ทุกคนปรารถนากัน โลกต้องการอย่างนั้นเพราะมีตัณหาความทะยานอยาก คิดว่าถ้ามีอำนาจแล้วจะขับเคลื่อนทุกอย่างได้ตามความพอใจของตัว แต่มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร

อย่างเช่นภูเขาไฟระเบิดอย่างนี้ อย่างเช่นแผ่นดินไหว ใครจะมีอำนาจเหนือมันล่ะ มันมีกรรมไง กรรมมีสภาพว่า สิ่งที่เป็นเรื่องของกรรม สภาวะของกรรม สภาคะไง ทำไมเครื่องบินตก เขาทำอะไรกัน เขาถึงต้องมาตายพร้อมกันในเครื่องบินลำนั้น เห็นไหม เกิดสงครามโลกทีหนึ่ง นี่เป็นล้านๆ คนนะต้องตาย โลกระบาดก็เหมือนกัน เวลาโรคระบาด นี่เป็น ระบาดมาก ระบาดน้อย แล้วต่อไปนี้ยิ่งน่ากลัวมากถ้าเป็นเชื้อไวรัสต่างๆ ที่มันระบาด มันจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่ากลัวเพราะถึงคราวหนึ่งถ้าสัตว์โลกทำกันอย่างนี้ สัตว์โลกทำกรรมของตัวแล้วก็ไปเรียกร้องความเป็นธรรมนะ

เวลาเรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องความเป็นธรรมต้องการหาความเป็นธรรม แต่ไม่คิดถึงความเป็นธรรมในหัวใจของตัวเองเลย ถ้าเป็นธรรมในหัวใจของตัวเอง เราต้องย้อนกลับมาดูตรงนี้ไง เวลามันเคลื่อนไหวนี่เคลื่อนไหวอย่างไร โลกกับธรรมมันต่างกันตรงนี้ ทางเรื่องของโลกมันเป็นวัตถุที่มันจับต้องได้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ไง แต่เรื่องของธรรมมันก็พิสูจน์ได้ แต่พิสูจน์ได้ด้วยหัวใจของผู้ที่มีอำนาจวาสนานะ

อำนาจวาสนา เห็นไหม เวลาเราเจอพระปฏิบัติ เราก็ว่าปฏิบัติเริ่มต้นมามีความสวยงามมาก แต่ก็ไปเสียบั้นปลาย เสียบั้นปลายเพราะอะไร เพราะเวลาเขาเจอลาภ เจอสักการะ เขายืนตัวของเขาเองไม่ได้ ถ้าจิตนี้ไม่มีมาตรฐาน จิตนี้ไม่มีพื้นฐานของมัน เวลาเจอสิ่งที่ดึงดูดต่างๆ มันต้องเคลื่อนไปตามอำนาจของกิเลสทั้งนั้น สิ่งที่เคลื่อนไปตามอำนาจของกิเลส ทำไมเริ่มต้นมันเป็นความสวยงามล่ะ แต่ทำไมเบื้องปลายทำไมมันไปมีปัญหาล่ะ? มันมีปัญหาเพราะมันมีกิเลส มีความเห็นแก่ตัว มีความเป็นไปของหัวใจ มันขับเคลื่อนไปได้ มันถึงว่าไม่เป็นธรรมในใจของตัวไง

เวลาเราเรียกร้องความเป็นธรรม เราเรียกร้องความเป็นธรรมทั้งหมดเลย แต่ในหัวใจเราทำไมมันไม่เป็นธรรมล่ะ ไม่เป็นธรรมเพราะมันมีสูงมีต่ำในหัวใจนั้น ตัณหาความทะยานอยาก เวลาความต้องการมันก็เรียกร้องมาอยากได้สิ่งที่จะต้องเป็นไป เวลามันไม่ต้องการ สิ่งที่มันไม่พอใจมันก็จะผลักออก สิ่งที่ผลักออก นี่มันไม่เป็นธรรม มันไม่เสมอภาค ถ้าใจไม่เสมอภาคมันก็ติด เห็นไหม ลาภสักการะ พระอนาคามียังติดในลาภสักการะ ติดในชื่อเสียง ติดในการที่เขานับหน้าถือตานะ ถ้าคนมาไม่นับหน้าถือตาก็ไปโกรธเขาไปแค้นเขาเพราะอะไร ทั้งๆ ที่เขาให้ของอยู่นะ เขามาถวายของอยู่ แต่เขาไม่สงบไม่เสงี่ยมก็รับเขาไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมนะ สิ่งใดก็รับได้

เวลาสัตว์มันเป็นของมัน มันคาบมาอะไรมามันจะเคารพได้อย่างไรล่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้ามันมีความรักมีความผูกพัน มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น สภาวะแบบนั้นมันมีสูงมีต่ำ ถึงกาลถึงเวลาของมัน

กาลเวลาของคนนะ คนเราเกิดมาทั้งชีวิตมันลุ่มๆ ดอนๆ ทุกคน คนเราเกิดมาไม่ใช่ว่ามั่งมีศรีสุขตลอดไปนะ ความมั่งมีศรีสุข ความทุกข์ความยากของใจ มันต้องประสบตามอำนาจของการดำรงชีวิตในความเป็นไปของโลก โลกมันจะแปรสภาพอย่างนี้ตลอดไป ถ้าโลกมันแปรสภาพอย่างนี้ตลอดไป เราจะทำสภาวะแบบใดให้ใจเรามั่นคงล่ะ ถ้าเราใจมั่นคง ถ้าเราได้เสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละ เสียสละแบบเรานะ ไม่ใช่เสียสละแบบความเรียกร้องนะ

เราเวลาเสียสละขึ้นมา เราจะเรียกร้องว่าทุกคนว่าเราทำบุญตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีผู้มาถามตลอดไปว่า เวลาทำบุญในศาสนาพุทธว่ามีบุญมหาศาล บุญมหาศาล ทำไมเศรษฐีโลกไม่เป็นชาวพุทธสักคนหนึ่ง เศรษฐีโลกเป็นศาสนาอื่นทั้งหมดเลย

เศรษฐีโลกต่อไปมันจะเป็นชาวพุทธ คอยดูต่อไปข้างหน้าสิ จะเป็นชาวพุทธนะ แต่ถ้ามันถึงกาลถึงเวลาของเขา ถึงกาลถึงเวลาของเขาด้วย ดูเศรษฐกิจตอนนี้จะมาที่ทางเอเชียทั้งหมดเลย เอเชียจะดึงดูดทรัพยากรมาทั้งหมด ในเมืองจีนทั้งหมดนะ ถ้าถึงที่สุดออกมา ต่อไปข้างหน้าแล้วคอยดูกันว่าสิ่งนี้จะเป็นสภาวะแบบใด

เพราะความคิดของโลกมันทันกันได้นะ เราเรียนทันกันได้ จะจบดอกเตอร์ จะจบขนาดไหน เราเรียนไปเราต้องจบได้ เราจบได้ เห็นไหม แต่ในเรื่องของหัวใจ การทำความเสมอภาคในหัวใจ เป็นธรรมในหัวใจนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นธรรมในหัวใจ มันมีความเป็นธรรมของมัน มันจะสงสารนะ มันจะมีความเมตตาสงสาร มันสงสาร เหมือนพ่อแม่ดูลูกเลย พ่อแม่ดูลูก พ่อแม่รักลูกไหม พ่อแม่ปรารถนาให้ลูกเป็นคนดีไหม พ่อแม่ต้องการให้ลูกอยู่ในสังคมได้ไหม? พ่อแม่ทุกคนต้องคิดอย่างนั้นหมดเลย แต่ลูกเป็นไปตามความปรารถนาของพ่อแม่บ้างไหมล่ะ

ถ้าเป็นคนดีมีศีลธรรมก็เป็นไปตามความปรารถนาของพ่อแม่ก็ได้ เขาไปไม่ถึงที่สุดก็ได้ เขาเห็นพ่อแม่ของเขายิ่งจ้ำจี้จ้ำไชเขา เขาต่อต้าน เขาประชดชีวิตของเขา ทั้งๆ ที่ทำคุณงามความดีให้เขานะ แต่เด็กมันก็มีความต่อต้าน มีความเป็นไปของมัน นี่เรื่องสภาวะกรรมอย่างนี้มันมีมาตลอดนะ

เพราะจิตที่มาเกิด เกิดมาส่งเสริมกันก็มี เกิดมาเพื่อทำลายกันก็มี สิ่งสภาวกรรมแบบนี้มีอยู่แล้ว ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้ามีบารมีมาก ทำไมเกิดพระเทวทัตล่ะ ทำไมเกิดฉัพพัคคีย์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ

เพราะสังคมใดก็แล้วแต่ถ้ามีคนหมู่มากแล้วมันต้องมีดีมีเลวปนกัน สิ่งที่มีเลวมีดีปนกันนี้เหมือนเหรียญมีสองด้าน ถ้าเหรียญมีสองด้าน เราจะพลิกเหรียญด้านไหนออกมาใช้ เราจะพลิกเหรียญด้านไหน เพราะอะไร เพราะการประพฤติปฏิบัติ ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ ชาวพุทธเข้าใจกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแล้ว...ปล่อยวางอย่างนี้ปล่อยวางโดยประสานะ หลวงปู่ชาบอก “ปล่อยวางแบบควาย”

พระฝรั่ง หลังคาเขารั่ว เขาไม่ยอมซ่อมแซมของเขา แล้วหลวงปู่ชาไปเห็นเข้า เลยถามว่าทำไมถึงไม่ซ่อมแซมล่ะ

“ผมปล่อยวางครับ ผมปล่อยวางครับ”

การซ่อมแซมเครื่องอยู่อาศัย เหมือนเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ต้องดูแลรักษาร่างกายของเราเพื่ออะไร? เพื่อจะมาประพฤติปฏิบัติ นี่เหมือนกัน เวลาบ้านเรือนของเรามันชำรุดเสียหาย เราก็ต้องซ่อมต้องแซม ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ครอบครัวใดตระกูลใดจะเสื่อมเพราะอะไร เพราะไม่มีการซ่อมแซมรักษา สิ่งที่รักษาสมบัติตัวเอง ถ้ามีการซ่อมแซมรักษา มีการประหยัด ครอบครัวนั้น ตระกูลนั้นจะยั่งยืนเพราะอะไร เพราะมีการเก็บรักษา มีการสงวนรักษา มีการรักษามัน

เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วางไว้ แต่เวลาเราปฏิบัติ เราก็คิดว่าเราปล่อยวาง ปล่อยวางแบบกิเลสไง นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องทำอะไรเลย พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางกัน เราปล่อยวางกัน เห็นไหม ถึงบอกว่ามันถึงต้องมีการข้ามพ้นดีและชั่ว ดีคือมรรคอริยสัจจัง มรรคคือการกระทำประพฤติปฏิบัติ แต่เราประพฤติปฏิบัติ เราจะสร้างคุณงามความดีกัน เราให้ทานกันก็บอกว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ไม่ต้องไปวัดหรอก เราปฏิบัติที่บ้านก็ได้ อะไรก็ได้

ได้ ทำอะไรก็ได้ ได้ในสภาวะแบบนั้น แต่ถ้ามันสะดวก มันมีคนชี้นำ เหมือนลูกกำพร้า ลูกกำพร้าเกิดมาไม่มีพ่อมีแม่ มันต้องดิ้นรนด้วยตัวของมันเอง แต่ลูกมีพ่อมีแม่ พ่อแม่จะเลี้ยงดูลูก นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่ปฏิบัติธรรมอาศัยครูบาอาจารย์เปิดความสว่างในที่มืดนั้น ถ้าเปิดความสว่างในที่มืดนั้น การประพฤติปฏิบัติมันจะง่ายขึ้น

การหาครูอาจารย์มันต้องเป็นอย่างนั้น ที่ไปวัดไปวาไปเพื่ออย่างนั้น ไปวัดใจเรา วัดใจ ไปวัดเพื่อดูความเป็นไปของใจของเรา วัดใจไง ข้อวัตรปฏิบัติคือใจของเรา ถ้าใจของเรามีวัด ไปวัดมาเราก็เทียบเข้ามา วัดไม่เหมือนบ้านนะ ถ้าเราไปวัดกัน แต่นี่โลกเป็นใหญ่ จะพัฒนาให้เป็นเหมือนบ้าน ให้มีความเหมือนบ้าน

ไม่เหมือน วัดไม่เหมือนบ้าน วัดต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ วัดมีกฎระเบียบกติกาของวัด วัดเป็นที่ประพฤติปฏิบัติ วัดเป็นความสงบสงัดของใจ วัดเป็นสิ่งที่ว่าเราพึ่งอาศัย เหมือนโรงพยาบาล เราจะผ่านโรงพยาบาลนี่ห้ามบีบแตรนะ เสียงดังไม่ได้ คนไข้เขาจะตกใจ ผ่านโรงพยาบาลยังต้องมีความสงบเลย แล้วเวลาเข้าวัดไปจะให้เหมือนบ้าน เป็นไปไม่ได้ บ้านของเรา เราอยู่อย่างไรก็ได้

ถึงว่าจากบ้านไปวัด ไปวัดใจ ความสงบสงัดเป็นอย่างไร ความฟุ้งซ่านในบ้านของเราเป็นอย่างไร ให้หัวใจมันประสบสิ่งนี้มันจะเข้าใจแล้วมันแยกแยะของมันเอง ตามความฉลาดของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นฉลาด มันจะแยกแยะสิ่งนี้เป็นไง มันเทียบเคียงสิ่งนี้เข้ามา มันก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ นี่ย้อนกลับเข้ามาในหัวใจนะ

ผู้ที่มีปัญญาจะมองความเห็นต่างๆ เป็นประโยชน์ทั้งหมดเลย ผู้ที่โง่เขลานะ ทั้งๆ ที่ว่ายื่นให้นะ ยื่นให้จากใจดวงหนึ่งยื่นให้ใจอีกดวงหนึ่ง มันยังปฏิเสธว่าสิ่งนี้เป็นยาพิษ สิ่งนี้มียาพิษนะ ทั้งๆ ที่ใจของครูบาอาจารย์เป็นธรรมทั้งหมดแล้วยื่นให้ ยื่นให้ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์สั่งสอน บอกว่าใจนี้มันมีกิเลส เหมือนเด็กเลย มันซน มันจะยื่นมือออกไปหยิบสิ่งที่เป็นของร้อน ครูบาอาจารย์จะตบมือนั้นออกมา ตบมือนั้นเลยนะ ตบมือไม่ให้ไปหยิบอันนั้นเพราะเด็กนี่อธิบายมันเข้าใจไม่ได้ เพราะในเหตุปัจจุบันนั้นมันจะยื่นมือไปจับความร้อน ต้องปัดมือมันออกจากความร้อนนั้น ถ้าปัดมือออกจากความร้อนนั้น นั่นคือคำสั่งสอนของท่าน

ถ้าคำสั่งสอนของท่าน ถ้าเราไม่เข้าใจก็ว่าทำไมโหดร้าย ทำไมรุนแรง เพราะต้องปัดออก ปัดออก เพราะมันจะร้อน แล้วถ้าเราหยิบสิ่งใด มือเราจะพอง เราจะร้อน แล้วมันจะเจ็บปวดตลอดไป แต่เราก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจนะ นี่จากใจดวงหนึ่งส่งให้ใจอีกใจดวงหนึ่ง มันยังไม่เข้าใจสภาวะแบบนั้นเลย สภาวะแบบนี้ การประพฤติปฏิบัติมันถึงว่า เรื่องของกิเลสมันมีตัณหาความทะยานอยาก

ถึงเรื่องของโลก เวลาเรื่องของโลกแย่งกัน แย่งกันเพื่อมีอำนาจวาสนา เพื่อมีความอยากใหญ่ นี่เป็นคนดีหมดเลย เวลาหาเสียงเป็นคนดีหมดเลย เวลาต้องการอำนาจ ทุกคนจะเป็นคนดีมาก คนดี เห็นไหม ดีเพื่ออะไร? ดีเหมือนเราที่ว่าเราทำทาน ทำทานดีเพื่อดี ไม่ต้องการสิ่งใดเลย แต่ในเมื่อเหตุการณ์เป็นสภาวะแบบนั้น สัจจะเป็นอย่างนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น มันต้องได้บุญสภาวะของมัน ได้บุญตามสภาวะของมัน แต่เวลานี่เหมือนกันทำคุณงามความดี โฆษณาหาเสียงว่าเราเป็นคนดีหมดเลย แต่เบื้องหลังมันเป็นสภาวะแบบเข้าไปแสวงหากันทั้งหมดเลย ไปเพื่อตัณหาความทะยานอยากอันนั้น เพราะเป็นโลกไง โลกเป็นอย่างนั้น

คนมีศีลธรรมจริยธรรมเป็นผู้นำ เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ทุกคนมีกิเลสหมด ปุถุชนทั้งหมด คนที่เป็นปุถุชน สิ่งที่มันมีสิ่งที่ว่ามันเป็นลาภ เป็นสักการะ เป็นสรรเสริญ สิ่งนี้จะทำให้หัวใจนั้นคลอนแคลนทั้งหมด สิ่งที่เป็นปุถุชนไม่เหมือนกับจิตใจของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเหมือนกับหลักปักอยู่ในดิน ที่ว่าหลัก ๘ ศอกปักอยู่ในดิน ๔ ศอก ลมพัดหวั่นไหวขนาดไหนมันก็ไม่คลอนแคลนไป แต่ปุถุชน ปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส ดีขนาดไหน มันก็เหมือนชีวิตเรา ดีแต่เริ่มต้น สุดท้ายแล้วมันก็มีการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายมันเป็นสิ่งที่ว่ามันมีอำนาจวาสนาเข้าไป คนมีอำนาจถ้ามีบริวาร บริษัทบริวารที่ว่าคอยแต่สรรเสริญอย่างเดียว มันจะล้มลุกคลุกคลานไม่ได้ แต่ถ้าคนมีสติ คนมีอำนาจวาสนาจะไม่เป็นแบบนั้นนะ

เวลาจักรพรรดิ ในสมัยพุทธกาลจักรพรรดิต้องเป็นธรรมมาก เวลาจักรมันเคลื่อน จักรพรรดินั้นต้องสละราชสมบัติออกบวช ออกบวชเพื่อให้จักรพรรดินั้นมีดำรงต่อไป แต่ถ้าฝืน เห็นไหม ฝืนเพราะหวงอำนาจ ฝืนเพราะอยากใหญ่ ฝืนเพราะมีความต้องการอันนั้น สมบัติจักรพรรดินี้จะเสื่อมไป เสื่อมไป ม้าแก้ว ขุนคลังแก้ว นางแก้วต่างๆ มันจะเสื่อมไป นี้เป็นสมบัติจักรพรรดิ นี่เรื่องของกรรมมันลึกลับมหัศจรรย์ขนาดนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมาจนหัวใจพ้นจากกิเลสทั้งหมด ด้วยอำนาจวาสนาบารมีเห็นสภาวะตามความเป็นจริงอย่างนี้หมดเลย แต่โลกต้องการเพียงวิทยาศาสตร์ต้องการพิสูจน์ ถ้าโลกวิทยาศาสตร์ต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งนี้เป็นวิทยาศาสตร์ เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาหาย ต้องรักษาได้ ต้องเป็นไปได้ ต้องควบคุมโรคได้ เห็นไหม จะควบคุมโรคได้ ดูสิ ดูอย่างการเกิดแผ่นดินไหว เกิดอะไรต่างๆ มันเป็นธรรมชาติของเขา ควบคุมไม่ได้ สิ่งนี้จะควบคุมไม่ได้ โลกนี้เป็นอจินไตย มันต้องเคลื่อนไปของมัน โดยธรรมชาติของมัน

แล้วเรื่องของชีวิตก็เหมือนกัน เรื่องของกรรม กรรมของแต่ละบุคคลสร้างสมมาไม่เหมือนกัน จะต้องให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม หนึ่ง เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะร่างกายเสื่อมโทรมโดยธรรมชาติของมัน นี้เป็นธรรมชาติของมันหนึ่ง เจ็บไข้ได้ป่วยความอุปาทานนะ นี่ไม่ได้เจ็บไข้ ไม่ได้ป่วย ก็อุปาทานคิดซ้ำ ย้ำคิดย้ำทำ คนจิตเพศ คนป่วยไข้ทางจิตมันจะเป็นสภาวะแบบนี้ เพราะอะไร เพราะมันมีสภาวกรรมของมัน นี่อุปาทาน

แล้วก็เรื่องของกรรม เรื่องของกรรม สภาวะของกรรมนะ เราเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆ น้อยๆ เราจะไปโรงพยาบาลหาเท่าไรก็ไม่เจอ เวลาลุกลามไปขนาดไหน มันลุกลามไปมันก็ยังไม่เห็นสภาวะแบบนั้น มันจะคลาดเคลื่อนไปกับเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ จะผิดพลาดไปจากเรื่องของการรักษา มันจะมีผิด มีพลาด มีเป็นไปให้กรรมอันนั้นมันต้องเป็นไป กรรมนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่ามันมีเหตุมีผล เหตุผลของกรรมเป็นอจินไตยอันหนึ่งนะ

อจินไตยคือว่าพุทธวิสัย เรื่องโลก เรื่องฌาน และเรื่องกรรม กรรมนี้เป็นอจินไตยเพราะมันลึกลับมหัศจรรย์มาก เพราะอะไร เพราะว่าถ้าย้อนไปอดีตชาติ สาวไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาวไปแล้วมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันลึกลับซับซ้อนคือมันซ้อนมาจนแบบว่าจะอธิบายสิ่งนี้ไม่ได้เลย มันจะให้ผลขนาดไหน แต่มันมีเหตุมีผลที่ว่ามันต้องทำมา สิ่งนี้ทำมา แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับจะเห็นสภาวะแบบนั้น

สมัยที่ว่า พาหิยะฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์หนเดียวทำไมเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาล่ะ เป็นชีเปลือยนะ เป็นพ่อค้าต่างแล้วเรือแตก เรือสำเภาแตก ขึ้นบกขึ้นมาไม่มีอะไรเลย ชีเปลือยขึ้นมา คนเขากราบไหว้ คนเขาสรรเสริญ เพราะว่าตัวเองมีปรัชญาพูดให้เขาฟังได้ เขาเลื่อมใสมาก เพราะเคยปฏิบัติมา นี่เรื่องกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติ นี่เคยปฏิบัติมา มี ๖ คนหรือ ๗ คน ขึ้นไปบนภูเขาตัด แล้วถีบบันไดทิ้งนะ ทำพะองขึ้นไป บอกว่า “ถ้าเราปฏิบัติกันใครไม่สิ้นกิเลส ไม่ให้ลงมา” อดอาหารตายบนนั้นไง นี่บุญกุศลอันนั้นทำให้มาเกิด เกิดเป็นชีเปลือย เป็นพาหิยะนี้ แต่ผู้ที่ปฏิบัติพ้นไป คือว่าผู้ที่ปฏิบัติพร้อมกันไป เขามาเตือนไง

“ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านอย่าหลงตัวเอง”

นี่ได้สติไง ได้สติแล้วไปฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์คราวเดียวเท่านั้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลยนะ นี่อำนาจวาสนาเป็นอย่างนั้น แต่เวลาพอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ได้สติมาก ขอบวชไง ขอบวช แต่เวลาขอบวชแล้วหาบริขาร ๘ ไม่ได้นะ นี่พระอรหันต์ ไปหาบริขาร ๘ อยู่ จนควายขวิดตาย ควายขวิดพระอรหันต์องค์นี้ตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้พระไปจัดการเผา จัดให้เรียบร้อย

กรรมของแต่ละบุคคลเป็นอจินไตย เรื่องของกรรมพิสูจน์กันด้วยการประพฤติปฏิบัติ ถ้าถึงที่สุดแล้วนะ พ้นจากกรรม จิตนี้พ้นจากกิเลสทั้งหมดแล้ว อันนี้จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดในศาสนาพุทธเรา

ศาสนาพุทธเราเวลานิพพานแล้วนะ อยู่โดยอิสรเสรีภาพ ไม่ใช่ไปอยู่กับอาตมัน ไปอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่เขาคาดหมายกัน นั่นคือการคาดหมายของลัทธิต่างๆ ที่ว่า ศาสดามีกิเลส เวลาบัญญัติออกมาเป็นศาสนา เป็นลัทธิต่างๆ ก็มีแต่จะทำให้โลกร้อนเป็นไฟ มองไปข้างหน้าแล้วน่าคิดมากเพราะอะไร เพราะมันเป็นความคิด เป็นความรู้สึกไง ถ้าเป็นความคิด ความรู้สึก นี่ฝังใจกันตลอดไป พยายามฝังใจเข้าไป พอมีการฝังใจส่งต่อไปแล้วมีการกระทำออกมา เพราะอยู่ที่ความคิด ถ้าความคิดมันจะฝังไป โลกมันน่าจะมีปัญหาอยู่ เอวัง